ลูกติดหนังสือการ์ตูนช่อง แก้ยังไงดี?
โดย พร อันทะ เมื่อ
อ่านการ์ตูนช่องแล้วมันไม่ดีอย่างนั้นหรือ? มันก็หนังสือเหมือนกันนี่ ดีมากแล้วที่ลูกฉันอ่านหนังสือ
การ์ตูนช่องอาจจะเป็นสิ่งแรกที่หลายๆ ครอบครัวใช้เป็นเครื่องมือเพื่อดึงลูกๆ ลดเวลาจากการเล่นเกม ติดจอ ซึ่งได้ผลด้วย ตอนนี้หลายบ้านเจอปัญหาถัดมา คือลูกอ่านแต่การ์ตูนช่อง หนังสืออย่างอื่นไม่อ่านเลย!
การ์ตูนช่องไม่ได้ผิดอะไรครับ แต่ถ้าอยู่กับอะไรซ้ำๆ นานๆ คนเราจะเริ่มมีความคิดและพฤติกรรมเลียนแบบโดยธรรมชาติ ทำไปโดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญเวลาส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับสิ่งนั้นเป็นหลัก
ในมนุษย์เด็ก การฝึกให้เขาจินตนาการ คิดให้เป็นภาพจากเรื่องเล่าที่ได้ฟัง หรือจากตัวหนังสือที่เขาได้อ่าน ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สมองจะสร้างเซลล์ประสาทเพิ่มอย่างรวดเร็วขึ้นตามสิ่งที่เด็กได้รับเข้าไป เด็กแต่ละคนอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน บทสนทนาเดียวกัน ต่างคนต่างหลับตาเห็นตัวละครแตกต่างกันไป ไม่ต่างอะไรกับการที่เราได้หยิบหนังสือวรรณกรรมที่เราชอบกลับมาอ่านซ้ำเมื่ออายุเพิ่มมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เราได้สัมผัสในแต่ละรอบของการอ่านจะเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ชีวิต
การอ่านการ์ตูนช่องมีส่วนสร้างความทรงจำแบบการ์ตูนช่องที่มีบทสนทนาหรือคำบรรยายสั้น กระชับ ทำให้การถ่ายทอดความคิดเป็น “ชุดของเหตุการณ์” มากกว่า “การเชื่อมโยงทางภาษา” ที่มีรายละเอียดซับซ้อน ผลกระทบที่เกิดขึ้นที่เห็นได้ชัดจากการอ่านการ์ตูนช่องเพียงอย่างเดียวคือ เด็กจะคิดและแสดงออกเป็นท่อนๆ ตอนๆ ขาดความเชื่อมโยงประติดประต่อในการเล่าเรื่อง เลียนแบบความรวดเร็วฉับไวถึงใจจากการเล่าเรื่องที่เขาเห็น ทำให้ภาพที่เขาถ่ายทอดออกมาจะเป็นภาพที่เขาจำมาจากสิ่งที่ผ่านตา สังเกตได้จากการวาดรูป งานที่ออกมาก็เหมือนถอดแบบมาจากการ์ตูนช่องเหล่านั้น ไม่ได้มาจากสิ่งที่สร้างขึ้นในหัวจากประสบการณ์การอ่านเขาเอง การอ่านเพียงการ์ตูนช่องจึงมีส่วนไปปิดกั้นการคิดให้เป็นภาพ หรือจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ของสมองไปโดยปริยาย

ไม่ได้หมายความว่าต้องห้ามลูกๆ ไม่ให้อ่านการ์ตูนช่องไปเสียทีเดียว สัดส่วนในการอ่านวรรณกรรมเล่มยาวควรถูกให้เวลามากกว่า เพื่อที่เด็กๆ จะได้อ่านและจินตนาการตามตัวหนังสือได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการฝึกฝนทางสมองที่ทรงพลัง เขาจะได้พัฒนาเพิ่มคลังศัพท์มากยิ่งขึ้น ภาพในหัวที่เกิดขึ้นระหว่างบรรทัดที่เขาอ่านสามารถออกแบบได้อย่างไร้ขอบเขต ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองในการสร้างภาพใหม่ๆ ขึ้นมา
ในวัยเด็ก 7–12 ปี เป็นวัยที่เหมาะแก่การฝึกสมองให้สร้างจินตนาการโดยที่ไม่ต้องมีกรอบใดๆ รวมไปถึงการฝึกการเชื่อมโยงของเหตุการณ์และแนวคิดอย่างเป็นระบบ การอ่านวรรณกรรมยังช่วยฝึกเรียงลำดับเหตุการณ์ ความคิด และอารมณ์ให้เป็นเหตุเป็นผล และใช้คำบรรยายเพื่อแสดงออกได้หลากหลายอีกด้วย
หากช่วงวัยเด็กสมองของเขาได้เติมเต็มด้วยตัวละครและเรื่องราวที่ลึกซึ้งจากการอ่านหนังสือเล่มเรื่องยาว สมองของเขาได้ถูกฝึกให้ใช้จินตนาการ ฝึกเชื่อมโยงเหตุการณ์มาแล้ว เมื่อชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นเขาได้ยินและเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อสารด้วยมากยิ่งขึ้น ในวัยที่เพื่อนสำคัญกว่าสิ่งใด วัยที่เขาจะเริ่มเข้าสู่โซเชียลเน็ตเวิร์ก วัยที่กลางวันเจอเพื่อนจริง กลางคืนเจอเพื่อนในจอ วัยที่เพื่อนเท่าภูเขา พ่อแม่เท่าฝาหอย
ความท้าทายคงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว หากเราไม่ได้เตรียมเขาให้พร้อมเมื่อหลายปีก่อนหน้าแต่ต้องเคี่ยวเข็ญและฝึกฝนจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์จากการอ่านในวัยนี้ เพราะแค่เกิดมาเป็นวัยรุ่นมันก็เหนื่อยแล้ว
เราจะทำยังไงดีเพื่อที่จะให้ลูกของเราหันมาสนใจหนังสือวรรณกรรม?
อันดับแรก พ่อกับแม่ต้องอ่านก่อน!
หากเราบอกว่า “ไม่มีเวลา” ในตอนนี้ เมื่อเขาเป็นวัยรุ่น เขาก็จะ “ไม่มีเวลาให้เรา” เช่นเดียวกัน เพราะตอนนั้นพ่อแม่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้ว
สำหรับเด็กเล็ก การอ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนทุกคืนจะกลายเป็นการปลูกฝังให้เขารักการอ่านเมื่อเขาอ่านหนังสือเองได้ไปโดยปริยาย
สำหรับเด็กโต พ่อแม่สามารถใช้ช่วงเวลาก่อนนอนหยิบหนังสือคนละเล่มอ่านคู่กับเขา โดยใช้เวลาวันละ 30–45 นาที แล้วหาช่วงเวลาอื่นๆ พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือที่กำลังอ่านกันไปด้วย พาเขาไปห้องสมุดเพื่อไปค้นหาหนังสือที่เหมาะกับวัยที่หลากหลาย พาเขาไปร้านหนังสือเพื่อซื้อเล่มใหม่ให้เขาบ้างในโอกาสพิเศษ หรือการเลือกซื้อหนังสือมือสองที่ราคาถูกกว่าในโลกออนไลน์ก็มีหลากหลายเช่นเดียวกัน
สำหรับบางครอบครัวที่กำลังภายในที่มีไม่เพียงพอต่อการโน้มน้าว เราต้องใช้กำลังภายนอกเข้าช่วย หาเพื่อนๆ อ่านหนังสือด้วยกัน รวมถึงนัดแนะกันไปร้านหนังสือหรือห้องสมุด โดยเฉพาะเด็กที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น หากเขามีเพื่อนสักคนที่ชอบอ่านหนังสือมาชักชวนหรือแนะนำ แลกเปลี่ยนกันอ่าน จะสามารถช่วยให้เขาเริ่มสนใจในการอ่านวรรณกรรมได้
ทั้งนี้และทั้งนั้น พ่อแม่ยังเป็นกุญแจและพลังหนุนสำคัญที่สุดที่ต้องคอยขับเคลื่อนให้เขาทำให้สำเร็จ ชวนเขาทำ นำเขาอ่าน แล้วเขาจะสนุกไปกับการอ่าน
เพราะ “เด็กจะเลียนแบบในสิ่งที่เราทำ ไม่ได้ปฏิบัติตามในสิ่งที่เราพูด”
ถึงเวลานั้น การอ่านวรรณกรรมก็จะกลายเป็นความบันเทิงหนึ่งของเขาไปแล้ว เพราะจริงๆ แล้วเด็กที่ไม่อยากอ่านหนังสือ มิใช่เพราะเขาขี้เกียจ แค่เพียงเพราะเขารู้สึกว่ามันยาก
หากถามว่าจะทำอย่างไรให้ลูกหันมาสนใจหนังสืออย่างอื่นนอกเหนือจากการ์ตูนช่องที่เขานั้นอ่านเป็นประจำอยู่แล้ว พ่อแม่เองคงต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้นี้อย่างจริงจัง ทำให้เขาเห็นว่า “มันง่าย” และ “สนุก” เขาจะสนใจและเดินไปกับเราเอง