มองต่างมุม

โดย พร อันทะ เมื่อ

ผู้ชายกำลังใช้รถไถเดินตาม ไถนา
การอยู่ท่ามกลางข่าวสารที่ถาโถม เยอะแยะจนบางครั้งอาจจะเมาหมัดนักข่าว จนผู้เสพย์อย่างเราแยกแยะลำบากว่าอะไรจริง อะไรปลอม มันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเวลาเรามองคนที่ทำศัลยกรรมมา ต้องรอเวลาผ่านเลยถึงจะมองเห็นความชัดเจน ช่วงนี้ ผมหมายถึงช่วงหลังเลือกตั้ง กรกฎาคม 2554 การเมืองพลิกขั้ว ประชาชนเลือกข้าง ใช่ ชีวิตจริงเราก็ต้องเลือก เมื่อมีฝ่ายได้ ก็ต้องมีฝ่ายเสีย เจ็บปวดช้ำใจก็ตกไปอยู่กับคนที่พ่ายแพ้ การพ่ายแพ้ก็แค่พ่ายแพ้เพียงในนามของความเป็นสังคม การอยู่ร่วมกันในสังคม ผู้ชนะในวันนี้ ก่อนหน้าก็เคยปราชัยมาแล้ว ผู้แพ้ในวันนี้ก่อนหน้าก็เคยครองแชมป์มาก่อน สมบัติผลัดกันชม มันคือคำจริง ความจริงในโลกแห่งสังคมการเมืองการปกครอง ในวิถีของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างมนุษย์

สำหรับผมเองแล้วอาจจะแยกแยะการดำเนินแห่งชีวิตออกเป็น 4 ระดับ คือ ตัวตน ครอบครัว สังคมและเหนือสังคม (ความตายและจักรวาล) ผมคิดว่าการแยกแยะชีวิตของตัวเองออกเป็น 4 แบบนี้ ทำให้ผมมีชีวิตและใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ง่ายขึ้น ยิ้มง่ายขึ้น ทรมานตัวเองน้อยลง

สำหรับ 4 ข้อนั้น ผมเองไม่สามารถที่จะใช้การเรียบเรียง อย่างที่เขียนได้ตลอดเวลา การให้ความสำคัญกับสิ่งใด ก่อน หลังนั้น ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยหลัก บางครั้ง สังคมก็ต้องมาก่อน หรือครอบครัวต้องมาก่อน บางครั้งก็ต้องเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง

อาศัยอยู่ในสังคมปัจจุบัน ในยุคของโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก รับจ้างสอนเด็กๆ บ้าง ผู้ใหญ่บ้าง เป็นงานรอง ทำงานอาสาเพื่อชาวบ้านบ้าง เป็นบางครั้ง การทำงาน ใช้ชีวิตอย่างหลากหลายวิถี อาจจะช่วยให้ผมมองเห็นความต่างในสังคมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มองเห็นตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่ห่างหายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook ไปหลายวัน วันนี้ผมกลับมาผมมอง Facebook ต่างไปจากเดิม มันทำให้ผมรู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้ Facebook มากเท่าไหร่ โลกและกรอบความคิดมันจะค่อยๆ แคบลง แคบลง ผมเองไม่สามารถมีเพื่อนใน เฟรนลิสต์ ของ Facebook ได้ถึง เจ็ดพันล้านคน ผมมีเพียงแค่ สองร้อยคนในนั้น มันทำให้ผมอยู่สึกว่าชีวิตมันเกาะติดอยู่ในอะไรบางอย่าง มากเกินไป ก็จริงหลายคนอาจจะบอกว่า “ก็มึงโง่เอง ที่ไปหลงเกาะติดอยู่กับมัน เขามีให้ใช้ประโยชน์ แต่ดันใช้ไม่เป็น” ผมก็ยอมรับ

เราเลือก ที่จะเสพย์ ข่าวที่เราอยากฟัง เราเลือกที่จะเชื่อ เสียงที่เราอยากเชื่อ เราเลือกที่จะเห็น สิ่งที่เราอยากเห็น เราทนไม่ได้ กับสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเป็น

แน่นอนว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเป็นเช่นนั้น แต่ผมเองอยากจะมองให้กว้างที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะเราต้องอยู่ร่วมกันในสังคม

บางทีการมองว่าคนโน้น คนนั้น คนนี้ดี หรือไม่ดีมันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่คับแคบมากเกินไป ตอนนี้ผมพยายามมองในเรื่องความเข้าใจในความต่างของแต่ละคน ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิดอันนำไปสู่การตัดสินชี้ขาดคนอื่น

ผมรู้สึกไม่สะบายใจ ที่สังคมบ้านเราส่วนหนึ่งมักมองคนที่เห็นต่างว่า โง่ ไม่มีการศึกษา ถูกครอบงำ ชักจูงง่าย

แต่เราหลงลืมอะไรบางอย่างไปหรือไม่ อะไรบางอย่างที่เราหลงเข้าใจว่ามันถูกต้อง เพียงเพราะเราไม่ได้เอะใจตั้งแต่แรก เพราะมันสั่งสมมาเนิ่นนานจนเราคิดว่ามันถูก โลกหมุนวนในวงโคจร เวลาที่ถูกสมมุติขึ้นว่าเดินไปข้างหน้า มนุษยชาติกำลังเดินไปเรื่อยๆ และยังหาจุดหมายไม่เจอว่าเราจะเดินไปไหนกัน

ในประเทศที่ชอบนำสัตว์มาเปรียบเปรยกับสัตว์ด้วยกันเอง เพราะลืมไปว่าตัวเองก็คือสัตว์เหมือนกับสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่ง จนกลายเป็นการเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นไปโดยปริยาย

ผมอยากจะรู้นักว่าอีก สองร้อยล้านปีต่อไป คน ควายและตัวเหี้ย ใครจะสูญพันธุ์ก่อนกัน ผู้ที่โง่ในสายตาที่ชอบตัดสินคนอื่น หรือผู้ที่อ่อนแอกว่า ย่อมสูญพันธุ์ก่อนใช่ไหมครับ

เราหลงระเริงกับสิ่งจอมปลอมที่เราสร้างขึ้นมากันเองในรอบไม่กี่ร้อยปีมานี้ จนตาลายทับถมเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่สำคัญต่อโลกใบนี้ไม่แพ้กัน

มองออกไปไกลๆ ไกลๆ เราจะเห็นความต่างที่อยู่ใกล้ตัวเรา ความต่างที่เราหลงลืมไป ลองมองในมุมใหม่ ชีวิตอาจจะยิ้มง่ายกว่าเดิม

มีความสุขกับการใช้ชีวิต ตามอัตภาพบ้าง จะเป็นไรไป อย่างน้อย ชีวิตนี้เราก็ไม่ได้ทุกข์ไปซะหมด